bookmark_borderเคล็ดลับการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมให้หายขาด

อาการออฟฟิศซินโดรม ชีวิตมนุษย์วัยทำงาน ส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้ แน่นอนว่านอกจากจะต้องทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ยังทำให้ร่างกายของตนเองนั้นได้รับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายต่าง ๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคออฟฟิศซินโดรม เพราะเป็นหนึ่งในโรคที่วัยทำงานส่วนใหญ่มักที่จะพบเจอกันอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากอาการนี้เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดขึ้นจากการที่เรานั่งทำงานนานเกินไป นั่งทำงานผิดท่า จนส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็ง เนื่องจากไม่ค่อยได้ผ่อนคลาย

จนทำให้เรานั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้กันได้ง่าย ดังนั้น ถึงแม้ว่าโรคนี้จะเป็นโรคที่พบเจอได้บ่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถบรรเทาอาการหรือรักษาให้หายได้ เพราะไม่ได้มีความอันตรายต่อร่างกายขนาดนั้น หากเราดูสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีอยู่เสมอ

ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม วันนี้เราก็จะมาแนะนำเคล็ดลับง่าย ๆ ในการดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้ได้รับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ง่าย หรือวิธีการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมให้หายขาดได้ ไปดูกันเลย 

1.การนั่งทำงานให้ถูกท่า

เนื่องจากโรคออฟฟิศซินโดรมนั้น เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการนั่งทำงานนานเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งตัวขึ้น ซึ่งวิธีบรรเทาอาการ หรือป้องกันการเกิดโรคนี้คือ เราจะต้องเลือกนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง ไม่ควรนั่งหลังค่อม หรือนั่งหลังเอนมากเกินไป เพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อย หรือช่วยลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ รับรองได้เลยว่าหาเราเลือกนั่งทำงานในท่าที่เหมาะสมอยู่บ่อย ๆ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี 

2.การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม

สิ่งสำคัญที่เราจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี และไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายต่าง ๆ ได้ง่ายนั้นคือ การเลือกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี โดย  เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล  เฉพาะอย่างยิ่งในที่ทำงานของเรา ซึ่งควรที่จะมีอากาศถ่ายเท ไม่แออัดเกินไป มีอากาศที่ดีในห้องทำงาน รวมไปถึงการมีแสงไฟที่เหมาะสมอีกด้วย เพื่อให้เหมาะสมสำหรับสายตาของเราด้วย ยิ่งถ้าเราปรับเปลี่ยนเป็นประจำนั้นจะยิ่งทำให้เราไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายนั่นเอง 

3.หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน

แน่นอนว่าการที่เราไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไป จะยิ่งทำให้เรานั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ง่าย ทางที่ดีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายชนิดนี้ เราควรที่เราปรับเปลี่ยนท่านั่งอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อของเรานั้นเกิดการเกร็ง แถมยังช่วยให้ระบบประสาท และสมองของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกด้วย 

bookmark_borderดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ช่วยสุขภาพด้านไหนบ้าง 

หลายคนคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า การดื่มน้ำเยอะ ๆ นั้นเป็นผลดี และมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งปกติแล้วร่างกายของคนเรานั้นจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จึงจะเพียงพอต่อร่างกาย และช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ช่วยสุขภาพ นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เป็นประจำ หรือประมาณวันละ 1-2 ลิตร จะสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายในส่วนต่างๆ ได้ ทั้งยังช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่คิดว่าการดื่มน้ำเยอะๆ

ในแต่ละวันนั้นจะยิ่งทำให้เราอ้วน หรือบวมน้ำขึ้นได้ ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะการดื่มน้ำเยอะๆ นั้นให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้มากกว่าที่คุณคิด ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุคนไปรู้จักกับประโยชน์ที่เราอาจได้รับหากเราเลือกดื่มน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร จะมีประโยชน์ในด้านไหนกันบ้างไปดูกันเลย

  • ช่วยกระต้นนการทำงานของสมอง

แน่นอนว่าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มน้ำทันที นอกจากจะช่วยในการกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นแล้วนั้น ยังสามารถช่วยกระตุ้นสมองของเราให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้สมองของเรารู้สึกสดชื่นมากขึ้น หรือเรียกได้ว่าเป็นการปลุกสมองให้เริ่มทำงานตั้งแต่เช้านั่นเอง ยิ่งถ้าเราดื่มน้ำเยอะแค่ไหนก็จะยิ่งช่วยให้เรานั้นมีสมาธิในการทำอย่างอื่นได้อีกด้วย 

  • ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย

หลายคนคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า การดื่มน้ำในตอนเช้า หรือดื่มในทันทีหลังตื่นนอนจะช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่คนที่กำลังอยู่ในช่วงของการลดน้ำหนักนั้นเลือกใช้ เพราะการดื่มน้ำเยอะ ๆ ในช่วงเช้า ๆ จะช่วยให้เราขับถ่ายได้คล่องมากขึ้นแถมยังช่วยในการขับสารพิษและของเสียออกมาจากร่างกายของเราและทำให้เรามีสุขภาพร่างที่ดีและแข็งแรงไม่ป่วยง่ายได้อีกด้วย

  •  ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย

โดยปกติแล้วคนเราจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย และชาวยเสริมสร้างภูมคุ้มกันให้แข็งแรง  ทั้งยังช่วยในการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายได้อีกด้วย โดยเฉพาะโรคที่เกิดขึ้นได้ง่าย เช่น โรคความดันโลหิต โรคมะเร็งลำไส้ หรือแม้แต่โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเองก็ตาม ดังนั้น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย ควรหมั่นดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเสริมภูมิคุ้มร่างกายให้แข็งแรง 

 

ได้รับการสนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

bookmark_borderการเชื่อมโยงระหว่าง IBS และ SIBO

หาก IBS เป็นปริศนาที่ล่อให้ Hercule Poirot มาที่ที่เกิดเหตุ SIBO อาจเป็นเบาะแสที่ค้นพบใหม่ซึ่งมาต่อสู่ในบทที่สองถึงบทสุดท้าย “โดยทั่วไป กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กมีจำนวนแบคทีเรียต่ำ เนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารและการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก” ดร.สังฆวีอธิบาย “การเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไปคือเมื่อคุณมีแบคทีเรียในลำไส้เป็นจำนวนมากในลำไส้เล็ก”

ดร. Pimentel กล่าวว่าความพยายามที่จะค้นหาความเชื่อมโยงระหว่าง SIBO กับ IBS นั้น “ดำเนินการมาประมาณ 20 ปีแล้ว” ตามที่เขาพูด “ค่อนข้างชัดเจนว่าประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของ IBS เป็น SIBO” อาการที่แพร่หลายที่สุดของ SIBO คืออาการท้องอืดมาก เช่น ระดับที่บางคนอาจถือว่าคุณอยู่ในไตรมาสที่ 2 ได้ดี

ซึ่งแตกต่างจาก IBS แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่พิเศษนี้จะเปิดเผยการปรากฏตัวของมันในปาร์ตี้ลำไส้ของคุณอย่างรวดเร็ว

เมื่อคุณทำการทดสอบลมหายใจเสร็จสิ้น ซึ่งอาจเป็นกระบวนการทำเองที่บ้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนแพทย์ของคุณให้คุณเล่นตลกด้วยกล้องที่ซ่อนอยู่ มันเกี่ยวข้องกับการไม่กินอะไรเลยนอกจากอาหารอย่างไก่ธรรมดาและข้าวขาวเป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงผสมแลคโตโลสหรือสารละลายน้ำตาลกลูโคสที่เจือจาง

และสุดท้าย ใช้หลอดพลาสติกขนาดเล็กสูดเข้าไปในหลอดแก้ว ถุง หรืออุปกรณ์อื่นๆ ทุกๆ 15 นาทีเป็นเวลาสองชั่วโมง ถึงสามชั่วโมง เมื่อสารละลายน้ำตาลที่หวานและหวานนั้นกระทบลำไส้เล็กของคุณ แบคทีเรียก็จะกัดกินและปล่อยไฮโดรเจน มีเทน หรือทั้งสองอย่าง

ระดับของก๊าซเหล่านั้นเผยให้เห็นว่าคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ล้นเกินประเภทใด ซึ่งช่วยกำหนดทางเลือกในการรักษา โดยปกติแล้วจะใช้ยาปฏิชีวนะประมาณ 2 สัปดาห์เพื่อกำจัดแบคทีเรียที่ไม่ดี ฉันสามารถยืนยันได้ว่ากระบวนการนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเรียกง่ายๆ

ว่า: ในช่วงสองสัปดาห์นั้น ฉันเหนื่อยและรู้สึกเหมือนเป็นหวัดหนัก จนถึงจุดหนึ่งก็มีอาการปวดหัวไมเกรนจนแทบแย่ สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือนอน ในห้องมืดตลอด 24 ชม. การลุกขึ้นไปฉี่เป็นการต่อสู้ที่ต้องคลานข้ามพื้นห้องครัวไปที่ห้องน้ำ

ดร.สังฆวีกล่าวว่าการรักษานี้ได้ผลประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของเวลาทั้งหมด ผู้ป่วยร้อยละ 40 มีการตอบสนองต่อยาเพียงบางส่วนหรือไม่มีเลย บ่อยครั้ง แม้แต่การใช้ยาปฏิชีวนะที่ประสบความสำเร็จก็ช่วยบรรเทาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น Dr. Sanghavi ประมาณการว่าผู้ป่วยของเธอประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์จะได้รับ SIBO กลับมาหลังจากสามถึงหกเดือน

หลายคนเห็นมันเกิดขึ้นอีกหลังจากผ่านไปหนึ่งปี การรักษาทั่วไปสำหรับ IBS/SIBO ก็คือการรับประทานอาหารที่มี FODMAP ต่ำ (โอลิโกแซ็กคาไรด์ที่หมักได้ ไดแซ็กคาไรด์ โมโนแซ็กคาไรด์ และโพลิออล) แต่มันมีข้อจำกัดมาก (ไม่มีผลิตภัณฑ์จากนม ข้าวสาลี ถั่ว และอื่นๆ) ที่ทั้ง Dr. Sanghavi และ Dr. Pimentel สังเกตว่าการคงอยู่นานกว่าสองสามเดือนนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ

แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา IBS ให้หายขาด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องรักษา SIBO ซ้ำๆ กัน แต่การวินิจฉัยที่มีขั้นตอนต่อไปที่ชัดเจนอาจเป็นรูปแบบการรักษาได้เอง เมื่อดร.สังฆวีบอกฉันว่าฉันมี SIBO ฉันรู้สึกโล่งใจที่ได้จัดอยู่ในประเภทเดียวกับผู้ป่วยรายอื่นๆ ที่ฉันสามารถขอความช่วยเหลือได้ “เพราะกลัวว่าร่างกายของฉันจะเน่าอยู่ข้างใน และถ้าคนเห็นความเน่าภายในนั้น พวกเขาจะไม่ชอบฉันอีกต่อไป”

 

สนับสนุนโดย.  เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล